ในการจัดการเรียนการสอนนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ
ซึ่งในแต่ละรูปแบบนั้นได้นำวิธีการจัดระบบการเรียนการสอนเข้ามาใช้เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพบรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
เช่นเดียวกับการประกอบกิจการงานทั่วไป หากงานใดได้นำวิธีการจัดระบบการทำงานเข้าไปใช้แล้วงานนั้นย่อมดำเนินไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
การใช้ การใช้วิธีการจัดระบบต่างๆ รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนนี้
ส่วนใหญ่จะต้องเริ่มต้นจากการวางแผน
ซึ่งการเมืองแผนการสอนหรือการวางแผนการจัดการเรียนรู้ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสอนที่เน้นการเตรียมการสอนล่วงหน้าก่อนสอนโดยศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้วจึงเขียนเป็นแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนเรียนรู้อย่างมีระบบและสามารถตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ
ได้
นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการวางแผนการสอนไว้ดังนี้
ไพฑูรย์
สินลารัตน์(หน้า 68) ได้ให้ความหมายของการวางแผนการสอนไว้ว่า
การวางแผนการสอนเป็นกิจกรรมในการคาดคิดและกระทำของครูก่อนที่จะเริ่มดำเนินการสอนในวิชาใดวิชาหนึ่งนั่นเอง
ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วยการกำหนดจุดมุ่งหมาย การคัดเลือกเนื้อหา
การกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล
วาสนา
เพิ่มพูน (2542 หน้า 37) ให้ความหมายว่า
การวางแผนการสอนเป็นการคิดล่วงหน้าอย่างรอบคอบว่าจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างไร
เมื่อถึงเวลาจริงๆก็ดำเนินการไปตามแผนที่กำหนดได้
ถ้าหากไม่ได้วางแผนการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าก็มักจะเกิดปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมาย
เกิดการผิดพลาดลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือกิจกรรมที่ดำเนินไปนั้นไม่ดีเท่าที่ควร
ชัยยงค์
พรหมวงค์(2543. หน้า 44) เสนอไว้ว่า
การวางแผนการสอนเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสอนที่เป็นการเตรียมการล่วงหน้าก่อนสอนโดยใช้ข้อมูลต่างๆที่รวบรวมได้จากการดำเนินงานตามระบบการสอน
จากคำจำกัดความของนักการศึกษาข้างต้น สรุปได้ว่า
การวางแผนการสอนเป็นการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างละเอียด
เพื่อจะได้ดำเนินการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องและตรงตามจุดประสงค์
การวางแผนการสอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสอนที่ดี
เพราะการวางแผนการสอนเป็นการเลือกและตัดสินใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
มีการจัดเตรียมเนื้อหาโดยนำเนื้อหามาบูรณาการกัน ทำให้ง่ายต่อการศึกษาทำความเข้าใจ
นอกจากนี้การวางแผนการสอนล่วงหน้ายังมีความจำเป็นในแง่ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจถึงจุดประสงค์ในการเรียนการสอนอย่างชัดเจน
และสามารถจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
ผู้สอนมีโอกาสได้ทราบเจตคติและความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ทำให้สามารถเลือกวิธีสอน
และการประเมินผลได้ถูกต้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนได้ผู้สอนท่านอื่นก็สามารถที่จะเข้าสอนแทนได้โดยง่าย
ในการวางแผนการสอนนั้นผู้สอนหรือผู้วางแผนจะต้องศึกษารายละเอียดของข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องและนำมาพิจารณาในการวางแผนการสอน
ข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่
1. สภาพปัญหาและทรัพยากร ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเรียนการสอนที่ผู้สอนรวบรวมได้จากการสำรวจปัญหาและตรวจสอบทรัพยากรในแง่กำลังคน
งบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ
ข้อมูลส่วนนี้จะทำให้ผู้ฟังแผนกำหนดรูปแบบการสอน กิจกรรมการเรียน
และสื่อการสอนได้ชัดเจนขึ้น
2. การวิเคราะห์เนื้อหา โดยกำหนดเป็นระดับหน่วยใหญ่ที่อาจต้องสอนหลายครั้ง
ระดับหน่วยย่อยที่เป็นปลีกย่อยของหน่วยใหญ่
และระดับบทเรียนที่เป็นเนื้อหาของการสอน 1 ครั้ง
สำหรับเนื้อหาของบทเรียนก็ต้องมีเคราะห์ออกเป็นหัวเรื่อง
และหัวข้อย่อยเช่นเดียวกัน
3. การวิเคราะห์ผู้เรียน เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอายุ
ระดับความพร้อมและความรู้เดิมของผู้เรียนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนมีความจำเป็นสำหรับการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับผู้เรียนในระดับต่างๆ
4. ความคิดรวบยอด เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับสาระ
หรือ แก่นของเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับอาจเปรียบได้ง่ายๆกับการปรุงอาหารที่ต้องมีการกำหนดความสมดุลของสารอาหารที่ผู้บริโภคจะได้รับ
โดยไม่คำนึงถึงกากหรือเนื้ออาหาร
การสอนก็เช่นเดียวกันผู้สอนต้องกำหนดให้เด่นชัดก่อนว่าต้องการให้ผู้เรียนได้รับความคิดรวบยอดที่เป็นแก่นสารของเนื้อหาสาระอะไรบ้าง
5. วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์เป็นเป้าหมายแห่งความสำเร็จในส่วนของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียนที่ผู้สอนกำหนดไว้
การกำหนดวัตถุประสงค์ต้องมีทั้งวัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เฉพาะก็นิยมกำหนดไว้ในรูปวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
6. กิจกรรมการเรียน เป็นข้อมูลที่ผู้สอนต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะให้ผู้เรียนประกอบกิจกรรมการเรียนอะไรบ้าง
โดยคำนึงถึงกิจกรรมกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และกิจกรรมรายบุคคล
กิจกรรมการเรียนต้องจัดไว้ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
7. สื่อการสอน เป็นข้อมูลที่ผู้สอนต้องคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าเช่นเดียวกัน
โดยพิจารณากิจกรรมการเรียนเป็นหลัก
8. การประเมินผล เป็นข้อมูลที่ผู้สอนต้องคาดการณ์ไว้ว่าจะตรวจสอบพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไร
ทั้งในส่วนที่เป็นพฤติกรรมเดิม (ความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว) พฤติกรรมต่อเนื่อง (พฤติกรรมย่อยที่ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้ไปทีละน้อย)
และพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (พฤติกรรมที่เป็นผลลัพธ์ซึ่งผู้สอนคาดหมายไว้)
การวางแผนการสอนสามารถกระทำได้ 2 แนวทางคือ
การวางแผนระยะยาว และการวางแผนระยะสั้น
1. การวางแผนระยะยาว หมายถึง
การวางการสอนที่ยึดหน่วยการสอนซึ่งครอบคลุมเนื้อหาสาระค่อนข้างกว้าง
ต้องใช้เวลาในการสอนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เป็นภาคเรียนและเป็นปี
โดยการทำเป็นโครงการสอน ซึ่งเรียกตามหลักสูตรเก่าหรือหลักสูตรใหม่
เรียกว่ากำหนดการสอนนั่นเอง
2. การวางแผนระยะสั้น หมายถึง การวางแผนการสอนของบทเรียนแต่ละเรื่องให้เป็นไปตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ผู้สอนที่ดีจำเป็นต้องมีแผนล่วงหน้าในการสอนทุกเรื่อง
การวางแผนการสอนของผู้สอนอาจทำในรูปแบบต่างๆกัน และอาจเรียกว่า
บันทึกการสอนตามหลักสูตรเก่า หรือแผนการสอน แต่ในปัจจุบันสถานศึกษาทุกแห่งยังคงใช้คำว่าแผนการสอน
ให้ใช้คำว่าแผนการเรียนรู้หรือแผนการจัดการเรียนรู้แทน
ซึ่งสถานศึกษาบางแห่งก็ยังคงใช้คำว่าแผนการสอนอยู่
เพราะสร้างความเข้าใจได้ง่ายเป็นแผนที่ครูเป็นผู้จัดทำออกแบบและใช้ในการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้
ความหมายของกำหนดการสอน
การกำหนดการสอนเป็นการเตรียมการสอนล่วงหน้าของผู้สอนในระยะยาว
สำหรับวิชาใดวิชาหนึ่งโดยกำหนดเนื้อหาสาระที่จะต้องดำเนินการสอนในระยะเวลาต่างๆ
เช่น การกำหนดการสอนตลอดทั้งปี ตลอดเทอม และตลอดสัปดาห์ ดังนั้น
การกำหนดการสอนซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. กำหนดการสอนรายปี
2. กำหนดการสอนรายภาค
3. กำหนดการสอนรายสัปดาห์
การกำหนดการสอนต้องคำนึงถึงกำหนดวันปิดและเปิดภาคเรียน
วันหยุดวันสำคัญต่างๆ การหยุดเรียนในวันที่มีกิจกรรมพิเศษ
ตลอดจนการกำหนดวันสอบย่อย สอบปลายเทอม
การกำหนดการสอนเปรียบเสมือนการกำหนดตารางเวลาการดำเนินการสอนของผู้สอน
การกำหนดเวลาและเนื้อหาสาระที่สัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม
โดยกำหนดเรื่องใดตอนใดต้องสอนก่อนหลังใช้เวลาแต่ละเรื่องมากน้อยเท่าใด
ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนสอนทำตามกำหนดที่ต้องการ
การกำหนดการสอนนี้จะทำแบบรายปี รายภาค รายสัปดาห์
ก็สามารถทำร่วมกันได้โดยจะเป็นรูปแบบอย่างไรก็ได้ตามความเหมาะสมและผู้สอนเห็นสมควร
หลักการทำกำหนดการสอน
ผู้สอนควรทำแผนการสอนของกรมวิชาการ
หรือแผนแม่บทกระทรวงศึกษาธิการซึ่งเขียนไว้เขียนย่อๆ หรือคร่าวๆ
มาพิจารณาหัวข้อเป็นหัวข้อย่อย
บางหน่วยต้องเพิ่มเติมต้องนำไปทำแผนการสอนอย่างละเอียดอีกครั้ง ดังนั้น
การทำกำหนดการสอนก็เพื่อให้ผู้สอนกำหนดแนวทางในการสอนตลอดปีหรือสอนตลอดภาคการเรียนว่า
จะสอนอย่างไรให้เนื้อหาต่อเวลาในการสอนสัมพันธ์กันการทำกำหนดการสอนสามารถทำได้โดย
1. ผู้สอนที่สอนในระดับเดียวกันมาร่วมกันพิจารณาด้วยกัน
2. ช่วยกันสำรวจจำนวนคาบที่จะสอนในแต่ละหน่วยว่าเหมาะสมหรือไม่
3. เริ่มหัวข้อแต่ละหัวข้อย่อยมากำหนดในการกำหนดการสอนโดยให้สัมพันธ์กับเวลาหรือจำนวนคาบที่จะใช้สอนโดยพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
4. พิจารณาจำนวนคาบเวลาในแต่ละสัปดาห์ของ
แต่ละวิชาให้สัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างเวลาเรียนกับเนื้อหาแต่ละหัวข้อ
ประโยชน์ของการกำหนดการสอน
การทำการสอนมีประโยชน์ ดังนี้
1. ใช้เป็นแนวทางในการทำแผนการสอนเพื่อใช้สอนได้สะดวก
ผู้สอนสามารถเข้าใจและมองเห็นงานของตนได้ล่วงหน้าชัดเจน
สามารถพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมอยู่เสมอในการคิดวางแผนล่วงหน้า ทำให้การสอนของผู้สอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปอย่างได้ผล
2. ช่วยให้การสอนเป็นไปตามหลักสูตร
เหมาะสมกับผู้เรียนและสอดคล้องกับภาพแวดล้อมและชุมชนเสมอ
3. ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้สอนใหม่ การรับงานของผู้สอนใหม่
การประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้ช่วยสอนกับผู้สอน การจัดการผู้สอนแทน ฯลฯ
เป็นไปด้วยดีไม่มีกระทบกระเทือนต่อผู้เรียนเกินไป
4. ช่วยให้ผู้บริหาร ผู้นิเทศ รู้ลู่ทางที่จะแนะนำ
ตลอดจนให้ความร่วมมือสนับสนุนด้วยประการต่างๆ
5. ทำให้ประสิทธิผลสะดวก เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย หรือจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
ความหมายของแผนการสอน
แผนการสอนหรือในปัจจุบันใช้คำว่าแผนการจัดการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งหมายถึง แนวทางในการสอนที่กระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้นให้ผู้สอนได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนรู้
เพื่อนำผู้เรียนไปสู่จุดหมายของการศึกษา ครูหรือผู้สอนอาจต้องปรับปรุงแผนการสอน
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความต้องการของท้องถิ่นได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอนและการประเมินผล ทั้งนี้โดยความคิดรวบยอด
จุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเป็นหลัก ดังนั้นในการทำแผนการสอน
หรือในการปรับปรุงการสอนเพื่อให้เกิดการสอนที่ดี
ผู้สอนจะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ในหลายๆด้าน ได้แก่ ด้านความรู้
ด้านเทคนิควิธีการ ตลอดจนการนำสื่อมาใช้ เป็นต้น
ข้อควรคำนึงในการทำแผนการสอน
การทำแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้น
ผู้สอนจะต้องเตรียมการล่วงหน้าโดยต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การศึกษาหลักสูตร คู่มือครู หรือเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ผู้สอนจะต้องศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
ตลอดจนศึกษารายละเอียดของเนื้อหาที่หลักสูตรกำหนดก่อนที่จะลงมือทำแผนการสอน
2. ความมุ่งหมายของสาระที่สอน ต้องให้ครอบคลุมความมุ่งหมายของการศึกษาทั้ง 3
ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านเจตคติและด้านทักษะ
ผู้สอนจะต้องทำความเข้าใจกับความมุ่งหมายเหล่านี้ให้ชัดเจน
สามารถกำหนดผลที่คาดว่าจะได้รับเมื่อมีการเรียนการสอนเกิดขึ้น
3. กำหนดขอบเขตของเนื้อหา
บทเรียนในกลุ่มสาระต่างๆที่จะสอนว่าจะให้มีขอบข่ายกว้างขวางตลอดจนความสามารถของผู้เรียนเป็นส่วนประกอบ
4. ทำความเข้าใจเนื้อหาที่สอนอย่างแจ่มแจ้ง ถูกต้อง ชัดเจน
รวมทั้งการหาความรู้เพิ่มเติม
5. พิจารณาเลือกวิธีสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาวิชา วัยวุฒิภาวะของผู้เรียน
และควรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
6. พิจารณาเลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับวิธีการสอน
7. กำหนดกิจกรรมต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
8. ดำเนินการวัดผลประเมินผลทุกครั้งที่ทำการสอน ด้วยวิธีต่างๆ
ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์
ลักษณะของแผนการสอนที่ดี
แผนการสอนที่ดี ควรมีลักษณะต่างๆ
ดังต่อไปนี้
1. มีความเหมาะสม
สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถานศึกษาตลอดจนปรัชญาของโรงเรียน
2. พิจารณากำหนดจุดประสงค์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น
3. มีการจัดเนื้อหาสาระให้เหมาะสมกับเวลา
สภาพความต้องการและความเป็นจริงของท้องถิ่น เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจ
4. มีการจัดลำดับหัวข้อรายละเอียดของเนื้อหาแต่ละตอนให้กลมกลืนกัน
พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่เข้ากับประสบการณ์เดิมได้
5. ควรมีการกำหนดกิจกรรม และประสบการณ์ควรคำนึงถึงวัยผู้เรียน
สภาพแวดล้อมกาลเวลา ความสนใจของผู้เรียน
องค์ประกอบของแผนการสอน
แผนการสอนโดยทั่วไปมีองค์ประกอบดังนี้
1. กลุ่มสาระวิชาและเรื่องที่สอน
2. หัวเรื่อง
3. ความคิดรวบยอดหรือสาระสำคัญ
4. จุดประสงค์หรือผลลัพธ์การสอน
หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
5. เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้
6. กิจกรรมการเรียนการสอน
7. สื่อการเรียนการสอน
8. ประเมินผล
9. หมายเหตุ
การปรับแผนการสอนหรือแผนการเรียนรู้ตามองค์ประกอบต่างๆ
ในข้อความข้างต้น สามารถปรับได้ตามขอบเขตของการปรับการแผนการสอนหรือแผนการเรียนรู้ดังนี้
1. จุดประสงค์หรือแผนการเรียนรู้ ผู้ปรับแผนการสอนจะต้องปรับจุดประสงค์บางเรื่องให้เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถประเมินผลหรือวัดผลได้
โดยคำนึงถึงจุดประสงค์ทั่วไป
2. เนื้อหา เนื้อหาสาระในแผนการสอนของกรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการนั้นได้กำหนดเนื้อหาไว้เพียงหัวข้อหยาบๆ
ในบางหน่วยอาจจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมไว้ในหลักสูตร
เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการเรียนการสอน
และให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาที่ต่อเนื่องกัน
3. กิจกรรมการเรียนการสอน ในแผนการสอนได้กำหนดกิจกรรมเสนอแนะไว้มากมายเพื่อเป็นแนวทางการสอน
และช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์หรือมาตรฐาน
และเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดรวบยอดในแผนการสอนบางหน่วย ผู้สอนอาจจะดัดแปลง
หรือปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับบทเรียน
4. สื่อการเรียนการสอน ที่กำหนดไว้ในแผนการสอนประกอบด้วยของจริง ขิงจำลอง วัสดุ อุปกรณ์ แผนภูมิ
แผ่นภาพและอื่นๆ ซึ่งผู้สอนจะปรับเปลี่ยนเป็นสื่อการสอนประเภทอื่นๆ
ที่หาได้ในท้องถิ่นนั้นๆมาแทนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน
5. การประเมินผล ในแผนการสอนกลางของกรมวิชาการ
นั้นได้กำพหนดวิธีการประเมินไว้ให้ผู้สอนได้เลือกใช้หลายวิธี
ซึ่งผู้สอนสามารถเลือกมาแนะนำปรับใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหา บทเรียน วัย
วุฒิภาวะและความสามารถของผู้เรียน
รูปแบบของแผนการสอน
รูปแบบของแผนการสอน
สามารถจัดกลุ่มตามลักษณะต่างๆ ได้เป็น 2 ลักษณะดังนี้
1. รูปแบบของแผนการสอนตามลักษณะการเขียน
1.1
แบบเรียงหัวข้อ
เป็นแผนการสอนที่เสนอแผนโดยเรียงลำดับตามหัวข้อที่กำหนดไว้ก่อนหลัง
โดยไม่ต้องตีตาราง รูปแบบนี้มีข้อดีคือ สะดวกแก่ผู้สอน เพราะไม่เสียเวลาในการตีตาราง
เขียนได้ง่ายกระชับ แต่มีข้อจำกัดคือ ยากต่อการตรวจดูความสอดคล้องของแต่ละหัวข้อเพราะเขียนอยู่คนละหน้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแผนการสอนรูปแบบเรียงหัวข้อนี้จะมีความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษ
ตัวอย่างแผนการสอนแบบเรียงหัวข้อ
1.2 แบบกึ่งหัวข้อกึ่งตาราง
แผนการสอนรูปแบบนี้นิยมเรียกสั้นๆว่า แผนการสอนแบบกึ่งตาราง
เป็นแผนการสอนที่เสนอข้อความตามหัวข้อส่วนหนึ่ง และเขียนรายละเอียดลงในตารางอีกส่วนหนึ่ง
การเขียนแผนการสอนแบบกึ่งจารางมีข้อดีที่กำหนดขั้นตอนตามเนื้อหาสาระกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลอย่างละเอียด
1.3 แบบกรมวิชาการ
นำเสนอไว้เป็นตัวอย่างในการเขียนแผนการสอน ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถนำไปดำเนินการปรับใช้ตามความเหมาะสม
2. รูปแบบของแผนการสอนตามลักษณะของการใช้
การสอนในระดับต่างๆ ได้แก่อนุบาล ช่วงชั้นที่ 1-2 ชั้นประถมศึกษา
ช่วงชั้นที่ 3-4 ชั้นมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
ย่อมมีรูปแบบของแผนการสอนที่แตกต่างกัน เพื่อความเหมาะสมและสะดวกในการใช้ในแต่ละระดับชั้น
ขั้นตอนในการเขียนแผนการสอน
ก่อนที่จะลงมือเขียนแผนการสอน
ผู้สอนควรได้ศึกษารายละเอียดตามขั้นตอนในการเขียนแผนการสอน ตามหัวข้อต่างๆ
โดยศึกษาจากกำหนดการสอนและตารางสอนว่าเรื่องที่จะสอนนั้นเป็นเรื่องอะไร
ใช้เวลาสอนกี่คาบ แล้วศึกษาแผนแม่บท และคู่มือครูโดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ศึกษาแผนการสอนแม่บท
และปรับแผนการสอนโดยแบ่งหัวข้อของเนื้อหาโดยย่อยลงไปในการแบ่งหัวข้อของเนื้อหา
ซึ่งเวลาที่จะสอนในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากันแล้วแต่เนื้อหา
และการจัดตารางแผนการสอนของแต่ละโรงเรียน
2. ศึกษาความคิดรวบยอดทั้งหมดของแม่บทนั้นหรือเรื่องนั้นให้แล้ว
เข้าใจ
3. ศึกษาจุดประสงค์มาตรฐานการเรียนรู้ทั้งหลายของสาระนั้น
เพื่อทำความเข้าใจว่าสอนแบบนี้ ผู้เรียนทำอะไรบ้าง ได้เปลี่ยนพฤติกรรมไปอย่างไร
4. ศึกษาเนื้อหาและรายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง
สอดคล้องกับความคิดรวบยอดและจุดประสงค์หรือไม่
5. ศึกษากิจกรรมการเรียนทั้งหมดตรวจสอบดูว่ากิจกรรมทั้งหมดแต่ละเรื่องตรงตามเนื้อหาหรือไม่
จะต้องหามาได้โดยวิธีใด อย่างไร ถ้าทำเองจะทันเวลาหรือไม่
6. ศึกษาการวัดผลและประเมินผลแต่ละครั้งที่สอนว่าใช้วิธีอย่างไร
วิธีการเหล่าเหมาะสมกับการวัดเนื้อหาและกิจกรรมหรือไม่
การเขียนแผนการสอน
จากองค์ประกอบของการเขียนแผน
รูปแบบของแผนการสอนและขั้นตอนในการเขียนแผนการสอน
เราสามารถนำมาเขียนเป็นแผนการสอนระดับชั้นต่างๆ
หรือตามความต้องการตามรายละเอียดในการใช้ตามหัวข้อต่างๆ ดังนี้
1. ชื่อกลุ่มสาระช่วงชั้นและระดับชั้น
เมื่อกำหนดที่จะทำแผนการสอนของกลุ่มสาระหรือเนื้อหาใด ควรเขียนให้ละเอียด เช่น
กลุ่มสาระภาษาไทย ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
เรื่อง การเขียนเรียงความเป็นต้น
2. ชื่อหน่วย ชื่อเรื่อง
เวลาและวันที่
เมื่อกำหนดสาระหรือเรื่องที่จะสอนแล้วให้ดูในแผนการจัดการเรียนรู้ของกระทรวงศึกษาธิการ
โดยให้ศึกษาหน่วยที่เท่าไร
3. มโนทัศน์หรือความคิดรวยยอด
ซึ่งหมายถึง สาระสำคัญข้อสรุปหรือความคิดครั้งสุดท้ายที่เกิดกับผู้เรียนในลักษณะสั้นที่สุด
ความคิดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากผู้เรียนได้รับปะสบการณ์และเกิดการเรียนรู้เรื่องนั้นแล้ว
มโนทัศน์หรือความคิดรวบยอดนี้จะเป็นทักษะที่เป็นแก่นแท้ของเนื้อหาวิชา
4. คุณสมบัติที่ต้องการเน้น
โดยทั่วไปแผนการสอนเดิมจะไม่มีการเขียนไว้
แต่การเรียนการสอนในปัจจุบันเน้นให้มีการฝึกให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติที่ดีในด้านต่างๆ
โดยในการสอนแต่ละครั้งผู้สอนควรพิจารณากิจกรรมการเรียนการสอน
ว่าสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และคุณธรรม 30 ข้อ
ที่ต้องการเน้นผู้เรียนทำงานร่วมกัน
5. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
เป็นจุดประสงค์ที่สังเกตและวัดได้เมื่อผู้เรียนศึกษาหรือเรียนเรื่องนั้นๆแล้ว
เกิดการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
6. เนื้อหา
ในปัจจุบันอาจใช้สาระการเรียนรู้ของบทเรียนในระดับชั้นต่างๆ
ที่กำหนดไว้ในหลักศตรของระดับชั้นนั้นๆ
เนื้อหาที่กำหนดไว้นี้จะเป็นเพียงหัวข้อเรื่อง หรือเค้าโครงเรื่องสั้นๆเท่านั้น
ผู้สอนจำเป็นต้องนำหัวเรื่องมาขยาย ศึกษาและหารายละเอียดเพิ่มเติมจากเอกสารต่างๆ
7. กิจกรรมการเรียนการสอน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในปัจจุบันนิยมยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ฉะนั้นผู้สอนควรพิจารณากิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสม
เพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนตามจุดประสงค์
8. สื่อการเรียนการสอน หมายถึง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้สอนใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นวัสดุ
อุปกรณ์หรือเครื่องมือวิธีการต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสื่อการเรียนการสอน
ซึ่งสื่อนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากศึกษา
อยากรู้และบางครั้งช่วยเร้าความสนใจ
9. การประเมินผล
การประเมินผลนี้เป็นผลต่อเนื่องจากการวัดผลในกระบวนการเรียนการสอน
ผู้สอนนำผลจากการวัดด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการตอบคำถาม การเข้าร่วมกิจกรรม
การสังเกตพฤติกรรม การทำแบบฝึกหัด มาประเมินผลโดยใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ
ที่จะทำให้ผู้สอนทราบได้ว่าผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่
10. หมายเหตุ
ในแผนการสอนส่วนใหญ่จะเพิ่มส่วนของหมายเหตุไว้ตอนท้าย
เพื่อไว้สำหรับบันทึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสังเกตต่างๆ จากการสอนครั้งนั้นๆ
ที่นอกเหนือจากหัวข้อองค์ประกอบของแผนการสอนในส่วนต่างๆ ที่ระบุไว้แล้ว
ประโยชน์ของการเขียนแผนการสอน
การเขียนแผนการสอนทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สอนและการจัดการเรียนรู้ดังนี้
1. ทำให้การสอนมีเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ผู้สอนได้เตรียมตัวก่อนที่จะไปสอน
ทำให้รู้ล่วงหน้าและเตรียมเนื้อหาได้ถูกต้อง
3. ทำให้การจัดกิจกรรมการสอนดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนที่กำหนด
4. ทำให้ผู้สอนมีความเชื่อมั่นในการสอนมากขึ้น
5. ช่วยให้ผู้สอนสามารถดำเนินงานในการเรียนการสอนได้ตรงตามหลักสูตร
สรุป
การวางแผนการสอนเป็นการเตรียมการล่วงหน้า
เพื่อทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
และผู้สอนมีความมั่นใจในการสอนเป็นอย่างดี
การวางแผนการสอนนี้สามารถทำได้ทั้งการวางแผนระยะสั้นและระยะยาว
โดยศึกษาข้อมูลหรือรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารหลักสูตรและการประเมิน
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการวางแผนกิจกรรมให้ผู้เรียนไว้ล่วงหน้า
เสมือนแผนที่ในการเดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมายตามที่กำหนด
ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ผู้สอนจะต้องวางแผนการจัดกิจกรรมจะต้องมีความเข้าใจถึงหลักสูตร
ธรรมชาติของรายวิชา
ทักษะเฉพาะรายวิชาที่ผู้สอนจะต้องสอดแทรกเพิ่มเติมนอกเหนือจากสาระการเรียนรู้
ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงเป็นกิจกรรมที่จะทำให้ได้เข้าใจเนื้อหาสาระมากขึ้น
ผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจในในการจัดหน่วยการเรียนรู้
จากนั้นจึงนำหน่วยการเรียนรู้มาวิเคราะห์เป็นแผนจัดการเรียนรู้ย่อยๆ ได้ตามขั้นตอนดังนี้
จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นขั้นตอนการได้มาซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้ว่าจะต้องจัดทำหน่วยการเรียนรู้ให้เรียบร้อยก่อน
จากนั้นจึงทำวางแผนการวิเคราะห์การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาสาระการเรียนรู้
ซึ่งขั้นตอนในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้มีดังนี้
เมื่อผู้สอนสามารถเลือกรูปแบบในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ได้แล้วนั้น
ผู้สอนจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำนิยามหรือความหมายของแต่ละหัวข้อในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ตามความหมายดังนี้
1. ความเข้าใจที่คงทน หมายถึง ความรู้ความเข้าใจที่ต้องการให้นักเรียนจำฝังใจ
หรือมีความเข้าใจในเรื่องที่สอนไปอย่างยาวนาน
2. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด หมายถึง
มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดที่ได้ทำการวิเคราะห์มาจากโครงสร้างหน่วยการเรียนรู้
3. สาระสำคัญ หมายถึง
ความคิดรวบยอดของเนื้อหาสาระที่จะทำการจัดการเรียนรู้ในเรื่องหนึ่งๆ
โดยสรุปได้สอดคล้องกับชื่อเรื่องและตัวชี้วัด
4. วัตถุประสงค์ หมายถึง
เป้าหมายนำทางที่ตั้งไว้ในการที่จะพัฒนาผู้เรียนให้ไปถึงคุณภาพมาตรฐานและตัวชี้วัดในเรื่องนั้นๆ
5. สาระการเรียนรู้ หมายถึง
สาระเนื้อหาวิชาที่จะทำการสอนที่ได้จากการวิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัด
ที่จะแตกออกเป็น ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ
6. สมรรถนะที่สำคัญ หมายถึง สมรรถนะที่กระทรวงการศึกษาธิการได้กำหนดไว้ สมรรถนะ
7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณลักษณะ ๘
ประการที่กระทรวงศึกษากำหนดให้ครูจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับเรื่องที่จัดการเรียนรู้
8. ชิ้นงาน/ภาระงาน หมายถึง
ชิ้นงาน/ภาระงานที่มอบให้กับผู้เรียนที่ได้จากการวิเคราะห์ตัวชี้วัด
9. กิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียนตามเนื้อหาสาระ
และกระบวนการพัฒนาผู้เรียน โดยเลือกกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสมของเนื้อหาสาระการเรียนรู้
และทักษะกระบวนการที่จะจัดส่งถึงให้กับผู้เรียน
9.1 กิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน (Introduction
Activities)
9.2 กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ (Enabling
Activities)
9.3 กิจกรรมความคิดรวบยอด (Concept
Activities)
10. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง สื่ออุปกรณ์ วัสดุ แหล่งการเรียนรู้
เป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เข้าใจมากขึ้น นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ
ได้เรียนรู้จริง เห็นจริง
11. บันทึกหลังสอน หมายถึง การบันทึกข้อมูลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยเขียนสภาพการบรรยายสภาพที่เกิดขึ้นของผู้เรียนตามขั้นตอนการจัดกิจกรรมว่ามีปัญหาอย่างไรบ้าง
แก้ไขอย่างไร และปรับกิจกรรมการสอนอย่างไร
แผนการจัดการเรียนรู้หรือในปัจจุบันใช้คำว่าแผนการจัดการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งหมายถึง แนวทางในการสอนที่กระทรวงศึกษาธิการจัดทำขึ้นให้ผู้สอนได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนหรือแผนจัดการเรียนรู้เพื่อนำผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายของการศึกษา ครู หรือผู้สอน อาจจะต้องปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความต้องการของท้องถิ่นได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหากิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการสอนและการประเมินผลทั้งนี้โดยยึดความคิดรวบยอดจุดประสงค์ของการเรียนรู้หรือผลลัพธ์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเป็นหลัก ดังนั้นในการทำแผนการจัดการเรียนรู้ หรือในการปรับปรุงการสอน เพื่อให้เกิดการสอนที่ดีผู้สอนจะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดีในหลายๆด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านเทคนิควิธี ตลอดจนการนำสื่อมาใช้ เป็นต้น
ข้อควรคำนึงในการทำแผนการจัดการเรียนรู้
การทำแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนจัดการเรียนที่ดีนั้นผู้สอนจะต้องเตรียมการล่วงหน้าโดยคำนึงถึงสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้
1 การศึกษาหลักสูตรคู่มือครูหรือเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้องผู้สอนจะต้องศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตรให้เข้าใจเสียงเก้งตลอดจนต้องศึกษารายละเอียดของเนื้อหาที่หลักสูตรกำหนดก่อนที่จะลงมือทำแผนการจัดการเรียนรู้
2 ความมุ่งหมายของกลุ่มสาระที่สอนต้องให้ครอบคลุมความมุ่งหมายการศึกษาทั้ง 3 ด้านได้แก่ด้านความรู้ด้านเจตคติและด้านทักษะผู้สอนจะต้องทำความเข้าใจกับความมุ่งหมายเหล่านี้ให้ชัดเจนจนสามารถกำหนดผลที่คาดว่าจะได้รับเมื่อมีการเรียนการสอนเกิดขึ้น
3 กำหนดขอบเขตของเนื้อหาบทเรียนในกลุ่มสาระต่างๆที่จะสอนว่าจะให้มีขอบข่ายกว้างของตลอดจนความสามารถของผู้เรียนเป็นส่วนประกอบ
4 ทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่จะสอนอย่างแจ่มแจ้งถูกต้องชัดเจนรวมทั้งการหาความรู้เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง
5. พิจารณาเลือกวิธีสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหา วัย วุฒิภาวะของผู้เรียนและควรให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับจะสอนเรื่องนั้นๆด้วย
6 พิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวิธีสอน
7 กำหนดกิจกรรมต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ก่อให้เกิดการเรียนจริงแก่ผู้เรียน
8 ดำเนินการวัดประเมินผลทุกครั้งที่กำหนดการสอนด้วยวิธีต่างๆที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี
1 มี มีความเหมาะสมสอด มีความเหมาะสมสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถาน มีความเหมาะสมสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถานศึกษาตลอดจนปรัชญาของโรงเรียนด้วย
2 พิจารณากำหนดจุดประสงค์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น
3 มี มีการจัดเนื้อหาสาระให้ มีการจัดเนื้อหาสาระให้เหมาะสมกับกาลเวลาสภาพ มีการจัดเนื้อหาสาระให้เหมาะสมกับกาลเวลาสภาพความต้องการและความเป็นจริงของท้องถิ่นเพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจและเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนยิ่งขึ้น
4 มีการจัดลำดับหัวข้อรายละเอียดของเนื้อหาแต่ละตอนให้กลมกลืนกันพร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เก่าให้สอดคล้องสัมพันธ์กันโดยตลอด
5 พิจารณากำหนดการใช้เวลาที่จะทำการสอนแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อให้เหมาะสมโดยใช้วิธีวิเคราะห์หลักสูตรเป็นแนวทางในการกำหนดการใช้เวลา
6 ควรมีการกำหนดกิจกรรมและประสบการณ์โดยคำนึงถึงวัยของผู้เรียนสภาพแวดล้อมการเวลาความสนใจของผู้เรียนและการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนรวมทั้งการใช้แหล่งวิทยาการในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์แก่การเรียนการสอนได้อย่างคุ้มค่า
องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
1 กลุ่มสาระวิชาและเรื่องที่จะสอน
2หัวเรื่อง
3 ความคิดรวบยอดหรือสาระสำคัญ
4จุดประสงค์หรือสาระการเรียนรู้
5 เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้
6 กิจกรรมการเรียนการสอน
7 สื่อการเรียนการสอน
8 ประเมินผล
9 หมายเหตุ
รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้
รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้สามารถจัดกลุ่มตามลักษณะต่างๆได้เป็น 2 ลักษณะดังนี้ หนังใต้ดิน
1 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ตามลักษณะการเขียนแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบคือ
1.1 แบบเรียงหัวข้อเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอแผนโดยเขียนเรียงลำดับตามหัวข้อที่กำหนดไว้ก่อนหลังโดยไม่ต้องตีตารางรูปแบบนี้มีข้อดีคือสะดวกแก่ผู้สอนในการเรียนเพราะจะไม่เสียเวลาในการตีตารางเขียนได้ง่ายกระชับแต่มีข้อจำกัดคือยากต่อการตรวจดูความสอดคล้องสัมพันธ์กันของแต่ละหัวข้อเพราะเขียนอยู่คนละหน้าซึ่งส่วนใหญ่แล้วแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบเรียงหัวข้อนี้จะมีความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษโดยเขียนเรียงกันตามหัวข้อต่อไปนี้
1 1.1 ชื่อวิชาและระดับชั้น
1.1.2 ชื่อหน่วยเลือกที่จะสอนและเวลาที่สอนเป็นคราบหรือชั่วโมง
1.1.3 ชื่อหัวเรื่อง
1.1.4 ความคิดรวบยอด
1.1.5 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1.1.6 กิจกรรมการเรียนการสอน
1.1.7 สื่อการเรียนการสอน
1.1.8 การประเมินผล
1.1.9 หมายเหตุ
1.2 แบบกึ่งหัวข้อ 1 ตารางแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้บางครั้งนิยมเรียกสั้นๆว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มตารางเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอข้อความตามหัวข้อส่วนหนึ่งและเขียนรายละเอียดลงในตารางอีกส่วนหนึ่ง
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบสุ่ม 6 ข้อ 1 ตารางนี้มีข้อดีตรงที่กำหนดขั้นตอนการสอนตามเนื้อหากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอนและประเมินผลอย่างละเอียดทำให้ผู้ที่นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้สามารถทำการสอนตามแผนได้โดยสะดวกส่วนข้อจำกัดคือแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลึงหัวข้อ 1 ตารางนี้จัดทำยากกว่าแบบเรียงหัวข้อเพราะจะต้องมีการตีตารางมีการกรอกข้อความลงในตารางที่จะต้องมีความชัดเจนและสัมพันธ์กันโดยตลอด
1.3 แบบกรมวิชาการนำเสนอไว้เป็นตัวอย่างในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถนำไปดำเนินการปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม
2 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ตามลักษณะของการใช้
2.1 ระดับอนุบาลและช่วงชั้นที่ 1-2 ชั้นประถมศึกษานิยมใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบกลึงหัวข้อกลึงตารางเพราะทำให้ผู้สอนสามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่สำคัญกับจุดประสงค์สื่อการสอนและการประเมินผลได้ชัดเจน
2.2 ระดับช่วงชั้นที่ 3-4 มัธยมศึกษานิยมใช้แบบกึ่งตารางในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นม 1-3 ส่วนช่วงชั้นที่ 4 มัธยมศึกษาตอนปลายม 4 ถึงมอ 6 นิยมใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียงหัวข้อ
2.3 ระดับอุดมศึกษานิยมใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียงหัวข้อเพราะกระทัดรัดและผู้สอนสามารถเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
1 ชื่อกลุ่มสาระช่วงชั้นและระดับชั้น ที่จะทำแผนการจัดการเรียนรู้ของกลุ่มสาระหรือเนื้อหาใดควรเขียนให้ละเอียดเช่นกลุ่มสาระภาษาไทยชุดที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่องการเขียนเรียงความเป็นต้น
2 ชื่อหน่วยหัวเรื่องเวลาและวันที่เมื่อกำหนดกลุ่มสาระหรือเรื่องที่จะสอนแล้วให้ดูในแผนการจัดการเรียนรู้ของกระทรวงศึกษาธิการโดยให้ศึกษาหน่วยที่เท่าไรหัวเรื่องอะไรเวลาที่ใช้ในการสอนกำหนดการสอนมีกี่คาบและสอนในวันที่เท่าไรเช่น หน่วยที่ 2 ชีวิตในบ้านเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบของสมาชิกในครอบครัวเวลา 17 คาบวันที่ 7 สิงหาคม 2549 เป็นต้น
3 มโนทัศน์หรือความคิดรวบยอด ซึ่งหมายถึงสาระสำคัญข้อสรุปหรือความคิดครั้งสุดท้ายที่เกิดกับผู้เรียนในลักษณะสั้นที่สุดความคิดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากผู้เรียนได้รับประสบการณ์และเกิดการเรียนรู้เรื่องนั้นมาแล้วมโนทัศน์หรือความคิดรวบยอดนี้จะเป็นทักษะที่เป็นแก่นแท้ของเนื้อหาวิชาของความคิดรวบยอดของแต่ละคนที่เกี่ยวกับสิ่งเดียวกันอาจไม่เหมือนกันเพราะประสบการณ์ต่าง กันและความคิดรวบยอดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากผู้เรียนได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ต่างจากเดิมแต่เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วผู้เรียนจะต้องสรุปลักษณะเด่นหรือลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นด้วย
4. คุณสมบัติที่ต้องการเน้นโดยทั่วไปแผนการจัดการเรียนรู้เดิมจะไม่มีการเขียนไว้ในการเรียนการสอนในปัจจุบันจะเน้นให้มีการฝึกให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติที่ดีในด้านต่างๆโดยในการสอนแต่ละครั้งผู้สอนควรจะพิจารณากิจกรรมการเรียนการสอนที่สอนในแต่ละคำว่าสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และคุณธรรม 30 ข้อในจริยศึกษาข้อใดบ้างที่เป็นคุณสมบัติที่ต้องการเน้น
5 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเป็นจุดประสงค์ที่สังเกตและวัดได้เมื่อผู้เรียนศึกษาหรือเรียนเรื่องนั้นๆแล้วเกิดการเรียนรู้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในปัจจุบันตามแผนการจัดการเรียนรู้นิยมเขียนจุดประสงค์ในแผนการจัดการเรียนรู้
6. สาระการเรียนรู้ เนื้อหา ในปัจจุบันอาจใช้สาระการเรียนรู้เป็นเนื้อหาสาระของบทเรียนในระดับชั้นต่างๆที่กำหนดไว้ในหลักสูตรของระดับชั้นนั้นนั้นเนื้อหาที่กำหนดไว้นี้จะเป็นเพียงหัวข้อเรื่องหรือเค้าโครงสั้นๆเท่านั้นผู้สอนจำเป็นต้องนำหัวข้อหรือเค้าโครงเหล่านั้นมาขยายศึกษาและหาอะไรละเอียดเพิ่มเติมจากเอกสารต่างๆเขียนบันทึกความในแผนการจัดการเรียนรู้ให้ชัดเจนว่าต้องการสอนอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นนั้นมีขอบเขตของเนื้อหากว้างลึกซึ้งเพียงใด
7. กระบวนการเรียนรู้/กิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นในปัจจุบันนิยมยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางฉะนั้นผู้สอนควรพิจารณากิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ผู้เรียนจะได้พัฒนาศักยภาพของตนในขณะที่เรียนได้อย่างเต็มที่มีการพัฒนาทางด้านร่างกายสังคมอารมณ์และสติปัญญากิจกรรมการเรียนการสอนโดยทั่วไปในแผนการจัดการเรียนรู้มักจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นได้แก่ขั้นนำเข้าสู่บทเรียนขั้นสอนขั้นสรุปและขั้นวัดผลสำหรับขั้นมัผลนี้อาจอยู่ในส่วนของการประเมินก็ได้
8 แหล่งการเรียนรู้/สื่อการเรียนการสอนหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้สอนใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นวัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือวิธีการต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นสื่อการเรียนการสอนทั้งสิ้นซึ่งสื่อการเรียนการสอนนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากศึกษา อยากเรียน และในบางครั้งช่วยเร้าความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้อีกด้วยผู้สอนควรมีทักษะในการเลือกใช้การทำนุบำรุงรักษาตลอดจนการประดิษฐ์สื่อการเรียนการสอนขึ้นใช้เองเพื่อแสวงหาจากท้องถิ่นของตนโดยคำนึงถึงการประหยัดทั้งทุนทรัพย์และเวลาเป็นสำคัญ
9. กระบวนการวัดและประเมินผล การประมวลผลนี้เป็นผลต่อเนื่องจากการวัดผลในกระบวนการเรียนการสอน ผู้สอนนำผลจากการวัดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การตอบคำถาม การเข้าร่วมกิจกรรมในระหว่างเรียน การสังเกตพฤติกรรมในการเรียนรู้ การทำแบบฝึกหัด เป็นต้น มาประเมินผลโดยใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะทำให้ผู้สอนสามารถทราบได้ว่า ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนที่กำหนดไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใด
10. บันทึกผลหลังการสอนในแผนการจัดการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเพิ่มส่วนของบันทึกผลหลังการสอนไว้ในตอนท้าย เพื่อไว้สำหรับบันทึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสังเกตต่างๆจากการสอนครั้งนั้นๆที่นอกเหนือจากหัวข้อขององค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ในส่วนต่างๆที่ระบุไว้แล้วเช่นอ่านบันทึกว่าผู้เรียน 5 คนไม่ได้เข้าชั้นเรียนเพราะต้องไปเป็นตัวแทนแห่เทียนเข้าพรรษาหรือการสอบครั้งนี้เป็นครั้งแรกจึงเสียเวลาไป 20 นาทีเพื่อทักทายและสร้างความคุ้นเคยกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนผู้เรียนกับผู้เรียนและทำแบบทดสอบก่อนเรียนเป็นต้น
การวัดเป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนคุณลักษณะของสิ่งที่วัดโดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนคำว่าการประเมินผล นั้นเป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของวัตถุสิ่งของโครงการการศึกษาพฤติกรรมการทำงานของคนงานหรือความรู้ความสามารถของนักเรียน
จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผล
1 การจัดตำแหน่ง (Placement) เป็นการวัดการประเมินผลโดยใช้เครื่องมือต่างๆเพื่อจัดหรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ตรงระดับไหนของกลุ่มเก่งปานกลางหรืออ่อนมากน้อยเท่าใดซึ่งสามารถใช้หลายๆกรณีเช่นเมื่อจะรับผู้เรียนเข้าสถานศึกษาผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันทั้งด้านสติปัญญาความสนใจความถนัดรวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่างๆที่จะต้องมีการคัดเลือกว่าจะรับผู้เรียนประเภทใดหรือไม่รับประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบ่งสาขาวิชาหรือชั้นเรียนอย่างไรดังนั้นผู้สอนหรือสถานศึกษาก็จะสามารถใช้การวัดและการประเมินผลมาเป็นเกณฑ์ในการจัดหรือแบ่งประเภทได้อย่างยุติธรรม
2. การวินิจฉัย (Diagnosis) คำคำนี้มักจะใช้ในทางการแพทย์โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนไข้แล้วแค่จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไรหรือมีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่สบายซึ่งจะเป็นการหาสมมติฐานของโรคเพื่อนำไปสู่การรักษาสำหรับในทางการศึกษานั้นการวัดการประเมินผลที่เป็นไปเพื่อการวินิจฉัยว่าผู้เรียนคนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้วในแต่ละวิชามีส่วนใดที่ผู้เรียนเข้าใจชัดเจนถูกต้องหรือไม่เข้าใจเข้าใจยังไม่ถูกต้องพูดสอนจะได้สอนหรือแนะนำทำความเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3. การเปรียบเทียบ (Assessment) จุดประสงค์ของการวัดการประเมินผลในข้อนี้เป็นไปเพื่อเปรียบเทียบความเจริญงอกงามพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยที่ผู้สอนอาจจะสอบวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนไว้ก่อนเมื่อเริ่มเรียนแล้วหลังจากนั้นเมื่อเลิกเรียนไปแล้วระยะหนึ่งหรือไม่เรียนไปจนจบแล้วผู้สอนอาจจะสอบเพื่อวัดประเมินผลอีกครั้งว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใดซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยเปรียบเทียบจากผลการสอบก่อนเรียนกับผลการสอบหลังเรียนจากที่เรียนไปแล้ว
4 การพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดประเมินผลเพื่อช่วยในการพยากรณ์ทำนายหรือคาดการณ์และแนะนำว่าผู้เรียนนั้นๆควรจะเรียนอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับความสามารถความถนัดหรือความสนใจของแต่ละบุคคลในทางจิตวิทยาการศึกษานั้นเชื่อกันว่าคนเราทุกคนมีความแตกต่างกันในหลายๆด้านดำน้ำหากสามารถจัดการศึกษาหรือการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความถนัดความสนใจหรือความรับรู้ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนได้ก็จะทําให้การศึกษาหรือการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆได้รวดเร็วและประสบความสําเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี
5 การป้อนผลย้อนกลับ (Feedback) เป็นการวัดและการประเมินผลเพื่อนำผลประเมินที่ได้ไม่ใช้ในการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อๆ ไป ผลย้อนกลับนี้ มีได้ทั้งส่วนเมื่อการจัดการเรียนการสอนผ่านไปแต่ละบทเรียนหรือเมื่อจบการเรียนการสอนแล้วพูดซ้ำควรมีการวัดและการประเมินผลเพื่อดูว่าเทคนิควิธีการสอนสื่อการเรียนการสอนเนื้อหาหรือกิจกรรมที่จัดให้กับผู้เรียนนั้นเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่อย่างไรมีส่วนใดบ้างที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขส่วนใดบ้างที่ดีอยู่แล้วสำหรับในส่วนของผู้เรียนนั้นเมื่อมีการวัดและการประเมินผลแล้วผู้อื่นก็จะได้รับรายงานผลของตนเองทำให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความรู้ระดับใดและมีเรื่องใดบ้างที่เรียนรู้แล้วเข้าใจชัดเจนเรื่องใดบ้างที่ยังต้องการศึกษาเพิ่มเติมอีกซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้เรียนในการศึกษาขั้นสูงๆ ต่อไป
6. การเรียนรู้ (Learning Experience) เป็นการวัดและการประเมินผล ที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวกระตุ้นในรูปแบบต่างๆที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียนด้วยซึ่งจะเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ
การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว Broom ได้เสนอเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่จะทำการวัดและการประเมินผลโดยเน้นที่จุดประสงค์หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดไว้ดังนี้
1 วัดทางปัญญาหรือพุทธิพิสัย
2 วัดทางความรู้สึกนึกคิดหรือจิตพิสัย
3 วัดทางความสามารถในการใช้อวัยวะต่างๆหรือทักษะพิสัย
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผล
1 การสังเกตเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของผู้สังเกตสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในสภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในนอกห้องเรียนและในห้องเรียน
2 การสัมภาษณ์เป็นการพูดคุยซักถามกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนมีการซักถามตอบโต้ซึ่งกันและกัน
3 การให้ปฏิบัติเป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติให้ดูว่าสามารถทำได้ตามที่เรียนรู้หรือไม่
4 การศึกษากรณีเป็นเทคนิคการศึกษาแก้ปัญหาหรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยละเอียดลึกซึ้งเป็นรายๆไป
5. การใช้จินตนาการ เป็นเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อล้วงความรู้สึกนึกคิด ของผู้ถูกวัดออกมายังไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกและให้เจ้าตัวเห็นว่าเป็นความรู้สึกหรือปฏิกิริยาของคนอื่นการวัดและการประเมินผลด้วยวิธีนี้มักใช้วัดทางด้านบุคลิกภาพ
6 การใช้แบบสอบถามเป็นวิธีที่ต้องมีแบบสอบถามเป็นชุดของคำถามที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระบบระเบียบพร้อมที่จะส่งให้ผู้ต่ออ่านและตอบด้วยตนเองคำถามที่ใช้จะเป็นคำถามที่ใช้ถามข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
7 การทดสอบเป็นการนำข้อของของทางที่สร้างขึ้นไปกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมตามที่ต้องการออกมาโดยสามารถสังเกตและวัดได้
แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเรียนการสอน
1 แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียงเป็นแบบทดสอบที่ให้คำตอบโดยไม่มีขอบเขตของคำตอบที่แน่นอนไว้การตอบใช้การเขียนบรรยายหรือเรียบเรียงคำตอบอย่างอิสระตามความรู้ข้อเท็จจริงตามความคิดเห็นและความสามารถที่มีอยู่โดยไม่มีขอบเขตจำกัดแน่นอนตายตัวที่เด่นชัดนอกจากกำหนดด้วยเวลาการตรวจให้คะแนนไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวส่วนมากมักขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบเป็นสำคัญ
2 แบบทดสอบแบบปรนัย แบบทดสอบแบบนี้จะกำหนดคำถามและคำตอบใบให้โดยผู้ตอบจะต้องอ่านด้วยความพินิจพิจารณาแล้วจึงพิจารณาคำตอบแบบทดสอบแบบปรนัยนี้มีลักษณะเด่นที่ผู้ตอบจะต้องใช้เวลาส่วนมากไปในการอ่านและคิดส่วนกันสอบใช้เวลาน้อย การตรวจทำให้ง่ายใช้ไข่ตรวจก็ได้และสามารถใช้เครื่องสมองกลตรวจช่วยได้เพราะผลที่ได้จากการตรวจจะไม่แตกต่างกันเลยแบบทดสอบปรนัยนี้มีทั้งให้ผู้ตอบเขียนคำตอบเองกับเลือกคำตอบที่กำหนดให้
การประเมินผลตามระบบการวัดผล
1 การประมวลผลแบบผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการประมวลผลเพื่อเปรียบเทียบผลงานหรือคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับผู้เรียนคนอื่นในกลุ่มเดียวกันโดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิดเดียวกันหรือฉบับเดียวกัน
2. การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการประมวลผลเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อดูบ้างงานหรือการสอบของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใดโดยไม่คำนึงถึงอื่นอื่นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
การประเมินผลตามสภาพจริงลักษณะของการประเมินผลตามสภาพจริง
1 ประเมินในสิ่งที่เป็นภาคปฏิบัติจริงหรือกระทำได้จริง
2 กำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินไว้ให้ชัดเจน
3 การประเมินตามสภาพจริงจะต้องทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่
4. การประเมิน ตามสภาพจริง จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาในการแสดงออก อย่างเต็มที่จะทำให้ผู้เรียนมีความสุขต่อการเรียนรู้
แนวทางในการวัดการประเมินผลตามสภาพจริง
1 การวัดผลและต้องใช้ในหลายวิธีในการวัด
2 จะต้องมีการจัดทำแฟ้มสะสมงาน
3. การวัดผลต่างๆที่เกิดขึ้นในระดับชั้นต่างๆในตัวผู้เรียนแต่ละคนและต้องตอบให้ได้ว่าบรรลุเป้าหมายมากน้อยเพียงไร
4. แนวทางในการวัดเน้นกันว่าที่ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนหรือการมุ่งปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน
เครื่องมือการประเมินผลตามสภาพจริง
1 การประเมินการแสดงออก
2 การประเมินกระบวนการและผลผลิต
3 การประเมินแฟ้มสะสมงาน
วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง
1 การสังเกต
2 การสัมภาษณ์
3 การบันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง
4 ทดสอบวัดความสามารถจริง
5. การรายงานตนเอง
6. แฟ้มสะสมงาน
ข้อควรคำนึงในการประเมินผลตามสภาพจริง
1 เป็นการประเมินที่กระทำไปพร้อมพร้อมจับการจัดการเรียนรู้และการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. เป็นการประเมินที่ยึดพฤติกรรมเป็นสำคัญซึ่งแสดงออกมาจริง
3. ให้ความสำคัญในการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน
4. เน้นการพัฒนาผู้เรียน และการประเมินตนเอง
5. ตั้งอยู่บนพื้นฐานเหตุการณ์ในชีวิตจริงเพื่อต่อการเชื่อมโยงการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริง
6. มีการเก็บข้อมูลระหว่างการปฏิบัติในทุกบริบททางที่โรงเรียนบ้านและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
7. เน้นคุณภาพของผลงาน
8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูงเช่นการวิเคราะห์การสังเคราะห์เป็นต้น
9. ส่งเสริมการปฏิบัติเชิงบวกการชื่นชมส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการเรียนของผู้เรียนให้ผู้เรียนมีความสุขสนุกสนานไม่เครียด
10. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินผลการเรียน
สรุป
การวางแผนการสอนเป็นการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างละเอียด เพื่อจะได้ดำเนินการเรียนการสอนได้ถูกต้อง และตรงตามจุดประสงค์ การวางแผนการสอนเป็นการเลือกและตัดสินใจเพื่อกาทางออกที่ดีที่สุด ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องมีการจัดเตรียมเนื้อหา โดยนำเนื้อหามาบูรณาการกัน ทำให้ง่ายต่อการศึกษาทำความเข้าใจ ในการวางแผนการสอนนั้น ผู้สอนหรือผู้วางแผนต้องศึกษารายละเอียดของข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วนำมาพิจารณาในการวางแผนการสอนซึ่งได้แก่ สภาพปัญหาและทรัพยากร การวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์ผู้เรียน ความคิดรวบยอด วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียน สื่อการสอน และการประเมินผล การวางแผนการสอน สามารถทำได้ ๒ แนวทางคือ การวางแผนระยะยาว และการวางแผนระยะสั้น